มะเร็งปอด… ภัยเงียบที่ต้องระวัง!!

ชนิดของมะเร็งปอดนั้นมีอยู่ 2 ชนิด คือ
– มะเร็งปอดชนิดเซลล์เล็ก (Small Cell Lung Cancer) เป็นชนิดที่เซลล์เจริญเติบโตและแพร่กระจายได้รวดเร็ว
– มะเร็งปอดชนิดไม่ใช่เซลล์เล็ก (Non-Small Cell Lung Cancer) พบได้บ่อยกว่าชนิดเซลล์เล็ก แต่แพร่กระจายได้ช้ากว่า และมีชีวิตอยู่ได้นานกว่าชนิดเซลล์เล็ก

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งปอดนั้นมีหลากหลายปัจจัยด้วยกัน ดังนี้

1. บุหรี่

การสูบบุหรี่รวมไปถึงการสูบกล้อง (ไปป์) และซิการ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสี่ยงมะเร็งปอด ยิ่งใครสูบมากๆ และสูบติดต่อกันมาเป็นเวลานาน จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น เนื่องจากบุหรี่นั้นประกอบไปด้วยสารพิษอันตรายและสารก่อมะเร็งกว่า 60 ชนิด ไม่ว่าจะเป็น ทาร์ นิโคติน คาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรเจนไซยานายด์ ฟีนอล แอมโมเนีย เบนซิน และฟอร์มัลดีไฮด์ สำหรับผู้ที่ไม่สูบแต่คลุกคลีอยู่กับผู้สูบหรือสูดดมควันบุหรี่บ่อยๆ ก็จะเสี่ยงมะเร็งปอดมากขึ้นเช่นกัน

2. การได้รับสารพิษและมลภาวะในสิ่งแวดล้อม

การที่ได้รับมลภาวะในสิ่งแวดล้อมอย่าง ควันรถยนต์ ควันจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงมะเร็งปอด รวมไปถึงสารพิษ หรือสารบางอย่าง เช่น

– แอสเบสตอส (Asbestos) หรือ แร่ใยหิน พบได้ในโรงงานอุตสาหกรรมหลายชนิด เช่น การก่อสร้าง โครงสร้างอาคาร ผ้าเบรค คลัชฉนวนความร้อน ท่อซีเมนต์ การรื้อถอนอาคาร เป็นต้น ซึ่งคนที่ทำงานในสายงานที่ได้สัมผัสกับฝุ่นหินเหล่านี้จะมีความเสี่ยงมะเร็งมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งสูบบุหรี่ควบคู่ด้วยก็ยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
– เรดอน (Radon) เป็นก๊าซกัมมันตรังสี ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส เกิดจากการสลายตัวของแร่ยูเรเนียมในใยหิน ซึ่งกระจายอยู่ในอากาศและน้ำใต้ดิน ในที่ๆ อากาศไม่ถ่ายเท รวมทั้งในเหมืองบางแห่ง เรดอนที่สูงกว่าปกติจะทำให้คนเป็นมะเร็งปอดได้ โดยเฉพาะคนที่สูบบุหรี่ด้วย จะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น

3. ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหลังอายุ 40 ปี

อายุที่เพิ่มมากขึ้นเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงโรคต่างๆ เนื่องจากเซลล์ในร่างกายเริ่มเสื่อมลงตามกาลเวลา อวัยวะไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าตอนหนุ่มสาว อายุจึงเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เสี่ยงมะเร็งปอดเช่นกัน

4. มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งปอด

อาจไม่ได้มีโอกาสสูงเท่าปัจจัยอื่นๆ แต่ถ้าคนในครอบครัวเคยมีประวัติเป็นมะเร็งปอดมาก่อน ก็จะมีโอกาสเสี่ยงมะเร็งปอดมากกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย

อาการของโรคมะเร็งปอด

สำหรับมะเร็งปอดนั้น มักไม่มีอาการผิดปกติในระยะแรกเริ่ม แต่จะแสดงอาการออกมาเมื่อมะเร็งเติบโต โดยอาการของโรคนั้นมีหลากหลาย ขึ้นอยู่กับบุคคลและความรุนแรงของโรค ไม่ว่าจะเป็น

– ไอเรื้อรัง ไอแห้งๆ นานกว่าปกติ
– ไอมีเสมหะ
– ไอเป็นเลือด
– เสียงแหบ
– มีปัญหาเรื่องการหายใจ หายใจลำบาก และหอบเหนื่อยง่ายๆ
– ปอดอักเสบ มีไข้ เจ็บหน้าอก
– น้ำหนักลด เบื่ออาหาร ตัวซีด อ่อนเพลีย
– เจ็บบริเวณหน้าอก

การวินิจฉัยโรค

การวินิจฉัยมะเร็งปอดนั้น ในเบื้องต้น แพทย์จะสอบถามสุขภาพ อาการทั่วไป อาการผิดปกติ และมีการตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม ดังนี้

– การเอกซเรย์ทรวงอก
– ซีทีสแกน (CT Scan)
– เพทสแกน (PET Scan)
– การส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ
– การตรวจเสมหะ

การรักษา

เมื่อพบว่าเป็นโรคมะเร็งปอดแน่นอนแล้วแพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าผู้ป่วยควรจะได้รับการรักษาแบบใดจึงจะเหมาะสมที่สุด โดยพิจารณาถึงอายุ ภาวะความแข็งแรงของร่างกาย ระยะของโรค ชนิดของมะเร็งและการยอมรับของผู้ป่วย ซึ่งการรักษาจะประกอบด้วย

1. การผ่าตัด (Surgery)
2. การฉายรังสี (Radiotherapy)
3. การให้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy)
4. การรักษาแบบเฉพาะเจาะจง (Targeted Therapy)
5. การรักษาด้วยการผสมผสาน (Multidisciplinary)
6. การรักษาแบบภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy)

การป้องกันโรคมะเร็งปอด

– เลิกสูบบุหรี่
– หลีกเลี่ยงการได้รับมลพิษในสิ่งแวดล้อม
– ทานผัก ผลไม้ให้มากขึ้น และเลือกทานอาหารที่มี วิตามิน C วิตามิน E รวมทั้งเซเลเนียม เช่น ข้าวซ้อมมือ รำข้าว เป็นต้น และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด
– เลี่ยงทานอาหารที่มีไขมันสูง และเลี่ยงการดื่มสุรา เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอดได้

การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ เลือกทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย มีประโยชน์ ออกกำลังกาย ป้องกันตัวเองจากสิ่งพิษต่างๆ ที่จ้องทำร้ายร่างกาย และหาตัวช่วยดีๆ เพื่อบำรุงร่างกายให้ห่างไกลโรคร้ายอย่างมะเร็งอีกแรงครับ